ชนิดของผักที่ปลูก(Hydroponics ตอนที่7) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
ชนิดของผักที่ปลูก(Hydroponics ตอนที่7)
การเลือกชนิดของผักที่จะปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์ หากเป็นการปลูกไว้เพื่อรับประทานเองในบ้าน ชอบทานผักอะไรก็สามารถปลูกได้เลย แต่หากเป็นการปลูกเพื่อการค้าแล้ว ชนิดของผักที่เราปลูก จะต้องตรงกับความต้องการของตลาด เนื่องจากระบบไฮโดรโพนิคส์นั้น มีต้นทุนค้อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการปลูกในดิน เพราะฉนั้นผักที่เราจะปลูกในระบบจะต้องเป็นผักคุ้มต่อการลงทุน และตลาดมีความต้องการสูง ชนิดของผักที่นิยมปลูกกันได้แก่ · กรีนโอ๊ค - Green Oak ใบมีลักษณะบาง ขอบใบหยัก มีทั้งสีเขียวและแดงขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ นิยมรับประทานสด เช่นเดียวกับผักตระกูลผักกาดหอมทั่วไป· เรดโครอล - Red coral เรด โครอล ใบมีลักษณะหยิกย่นเป็นคลื่น ปลายขอบใบหยิกเป็นฝอยสีแดง นิยมรับประทานสดๆในจานสลัด หรือนำมาใช้ตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันสวยงาม· เบบี้คอส - Baby cos lettuce เบบี้คอสหรือผักกาดหวานเล็ก มีลักษณะคล้ายผักกาดหวานทั่วไปแต่มีขนาดเล็กและห่อปลีแน่นกว่า นิยมรับประทานสด เนื่องจากใบมีรสหวานและกรอบ· แรดโอ๊ค - Red loose leaf lettuce ใบมีลักษณะบาง ขอบใบหยัก มีทั้งสีเขียวและแดงขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ นิยมรับประทานสด เช่นเดียวกับผักตระกูลผักกาดหอมทั่วไป· คอส - Romain cos มีใบยาว เข้าปลีแบบหลวมๆ มีรสชาติหวานกรอบ จึงได้ชื่อว่า ผักกาดหวาน นิยมรับประทานสดในรูปแบบสลัดหรือเครื่องเคียงของน้ำพริก ลาบ เนื้อย่างต่างๆ· บัตเตอร์เฮด - Butter head lettue ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด ใบมีลักษณะอ่อน และห่อตัวแบบหลวมๆ นิยมรับประทานสดในจานสลัดหรือนำไปดัดแปลงทำอาหารประเภทอื่นๆเช่นเครื่องเคียงน้ำพริกต่างๆ เนื้อย่าง และยำต่างๆ· ฟิลเลย์ ไอซ์เบิร์ก frillice Iceberg ใบมีสีเขียว ทรงพุ่มใหญ่สวยงาม ขอบใบหยักห่อคล้ายลูกกลม คล้ายกะหล่ำปลีหัว กาบใบห่อเข้าหากันเป็นชั้น ๆ ห่อหัวเมื่ออากาศเย็นปลายใบหยิกเป็นฝอย ใบแข็งกรอบ ฉ่ำน้ำรสชาดหวานกรอบผักที่ผมได้กว่ามานี้ราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 80- 120 บาทเลยที่เดียว นอกจากนี้ยังมีผักที่เป็นเครื่องเทศของต่างประเทศอีกหลายชนิดที่มีคาราแพงประมาณกิโลกรัมละ 400 -800 บาท เช่น ร็อคเก็ตสลัดRocket salad, โรสเมรี่ Rosemary, อิตาเลี่ยน เบซิล Italian Basil, อิตาเลี่ยน พาสเล่ย์ Italian Parsley เป็นต้น ในครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงการเลือกพื้นที่ ที่จะทำโรงเรือนในระบบไฮโดรโพนิคส์กันครับ ว่าต้องมีอุณหภูมิ แสง ความสูงต่ำของพื้น ว่าจะมีผลมากน้อยเพียงในต่อการเจริญเติบโตของผักที่เราปลูกกันครับ
ระบบปลูกผักไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่6) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
ระบบปลูกผักไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่6)
ระบบที่เราจะพูดถึงในวันนี้ จะพูดถึงระบบปลูกพืชไฮโดรโพคส์เฉพาะระบบที่ปลูกในน้ำเท่านั้น ซึ่งมีการพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในแต่ละประเทศตามความเหมาะสม- ระบบเอ็นเอฟที (Nutrient Film Technique, N.F.T.) เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมเป็นการปลูกพืช โดยให้รากแช่อยู่ในสารละลายโดยตรง สารละลายจะไหลผ่านรากพืชเป็นฟิล์มบางๆ (โดยทั่วไปมักกำหนดให้น้ำที่ไหลผ่านมีความหนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร) สารละลายจะไหลหมุนเวียนผ่านรากตลอดเวลา ความยาวของระบบมีตั้งแต่ 5-20 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 20 เมตร เนื่องจากจะทำให้เกิดความแตกต่างของปริมาณออกซิเจนระหว่างหัวและท้ายระบบได้ ซึ่งปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในสารละลายจะมีอิทธิพลต่อความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารของรากพืช ระบบปลูกแบบเอ็นเอฟทีเหมาะสมกับการปลูกพืชที่ปลูกแบบรับประทานใบ ต้นเตี้ย อายุสั้น เช่น ผักสลัด ผักกาดการปลูกพืชแบบนี้ จะเป็นการปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายโดยตรงสารละลายธาตุอาหารจะไหลเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ (หนาประมาณ 2-3 มิลิเมตร) ในรางปลูกพืชกว้างตั้งแต่ 5-35 เซนติเมตร สูงประมาณ 5 เซนติเมตร ความกว้างรางขึ้นอยู่กับชนิดพืชที่ปลูก ความยาวของรางตั้งแต่ 5-20 เมตร การไหลของสารละลายอาจเป็นแบบต่อเนื่องหรือแบบสลับก็ได้โดยทั่วไปสารละลายจะไหลแบบต่อเนื่องอัตราไหลอยู่ในช่วง 1-2 ลิตรต่อนาทีต่อราง รางอาจทำจากแผ่นพลาสติกสองหน้าขาวและดำ หนา 80-200 ไมครอน หรือจากพีวิซี (PVC) ขึ้นรูปเป็นรางสำเร็จรูป ทำจากโลหะ เช่น สังกะสี หรืออะลูมิเนียม และบุภายในด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันการกัดกร่อนของสารละลายโดยจะมีปั๊มดูดสารละลาย ให้สารละลายไหลผ่านรางและรากพืชและเวียนกลับมายังถังเก็บสารละลาย - ระบบเอ็นเอฟเอลที (Nutrient Flow Technique) คือ การปลูกแบบระบบให้สารละลายธาตุอาหารพืชไหลผ่านรากพืชแบบแผ่นหนาบนรางปลูกอย่างต่อเนื่อง - ระบบดีเอฟที (Deep Floating Technique) เป็นระบบที่ปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยจะมีการปลูกพืชบนแผ่นโฟมหรือวัสดุที่ลอยน้ำได้ เพื่อยึดลำต้นแต่จะปล่อยให้รากเป็นอิสระในน้ำระบบนี้ไม่มีความลาดเอียงเป็นระบบที่มีการหมุนเวียนสารละลายโดยการใช้ปั๊มดูดสารละลายจากถังพักขึ้นมาใช้ใหม่ในระบบเพื่อให้เกิดการหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับระบบน้ำที่ใช้ในการผลิตผัก ระบบนี้อาจมีเชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบไฮโดรโพนิคส์ลอยน้ำ (Floating Hydroponics Systems) - ระบบดีอาร์เอฟ (Dynamic Root Floating) เป็นระบบการปลูกพืชที่พัฒนามาจากระบบของ ดร.เกอริค (Prof. Dr.William F.Gericke) ที่เน้นการปลูกพืชให้รากพืชแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งสร้างรากอากาศเพื่อช่วยในการหายใจ โดยจะทำให้พืชที่ปลูกในระบบนี้สามารถเจริญได้ในอุณหภูมิของสารละลายที่สูงมากกว่าระบบอื่นๆ ได้ดี ดร.เกา (Kao Te Chen) นักวิจัยและพัฒนาระบบไฮโดรโพนิคส์ ชาวไต้หวัน ได้พัฒนาระบบของ ดร.เกอริค โดยเพิ่มระบบท่อรับน้ำในกระบะที่ช่วยให้ระดับน้ำสูงขึ้นหรือลดลงได้ตามความต้องการของพืช โดย ดร.เกา ได้กำหนดให้ระดับน้ำควรสูงเพียงพอที่จะทำให้รากพืชแช่อยู่ในน้ำได้ประมาณ 4 เซนติเมตร โดยรากส่วนนี้จะเป็นรากที่ดูดอาหาร (Nutrient root) และรากส่วนเหนือจากนี้จะเป็นรากที่หายใจ และดูดออกซิเจนเข้าสู่ราก จึงเรียกรากส่วนนี้ว่า รากอากาศ (Aero root) ดังนั้นระบบดีอาร์เอฟก็คือระบบที่สามารถปรับความสูงต่ำของน้ำในกระบะปลูกได้ตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด และเพื่อให้รากพืชลอยอยู่ในน้ำในระดับเพียง 4 เซนติเมตร ระบบดีอาร์เอฟได้มีการพัฒนาหลายครั้ง และปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรในไต้หวัน โดยระบบดังกล่าวได้แบ่งเป็น 2 ระบบย่อยๆ ได้แก่ ระบบปรับลดระดับสารละลาย เป็นแบบที่ปล่อยให้รากจมอยู่ในน้ำลึกในระยะแรก แล้วค่อยลดระดับน้ำลงจากระดับแรกที่สูงประมาณ 8 เซนติเมตร เหลือ 4 เซนติเมตร ระบบเออาร์-ดีอาร์เอฟ เป็นการปลูกพืชโดยให้รากพืชคร่อมบนสันของถาดปลูกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะแล้วปล่อยสารละลายไปตามแนวด้านข้าง - ระบบเอฟเอดี (Flood and Drain,FAD) คือ การให้สารละลายธาตุอาหารพืชท่วมภาชนะปลูกและรากพืชอยู่ระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยๆ ระบายออกระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงให้สารละลายท่วมภาชนะอีกครั้ง สลับเช่นนี้เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับในครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงชนิดของผักที่เราจะปลูกกันครับว่า ปลูกผักชนิดไหนขายได้ราคาดีและตลาดมีความต้องการสูงกันครับ
การเพาะกล้าผักระบบไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่ 5) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
การเพาะกล้าผักระบบไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่ 5)
วันนี้เราจะมาอธิบายถึงวิธีการเพาะกล้าผักที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์กันครับ ก่อนอื่นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ถาดพลาสติก เมล็ดพันธุ์ผัก สารละลายสำหรับใช้ปลูกพืช จากนั้นเราก็มาเริ่มกันเลยครับ - นำฟองน้ำที่หนาประมาณ 3-4 เซนติเมตร มาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมใหญ่แล้วใช้ คัดเตอร์ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ระวังอย่างให้ขาดจากกัน จากนั้นกรีดเป็นรูปกากบาทตรงกลางของแต่ละอัน สำหรับหยอดเมล็ด - วางฟองน้ำลงในถาดรดน้ำให้ชุ่ม หยอดเมล็ดลงไปในรอยกากบาท หลุมละ 2-3 เมล็ด เก็บไว้ในที่มืด 2-3 วัน พอเมล็ดเริ่มงอกก็รดด้วยสารละลาย - สารละลายที่ใช้ครั้งแรกจะเป็นสารละลายเจือจาง สารละลายนี้มีสองสูตรดังที่ผมได้กล่าวไว้ถึงการผสมในบทความที่แล้ว คือสารละลาย A และสารละลาย B ใช้ทั้ง 2 สูตร ให้ค่า EC อยู่ที่ 0.8 Ms ใช้รดต้นกล้าซึ่งเอามารับแสงแดดแล้วรดให้ชุ่มจนต้นกล้าออกใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายไปปลูกในถาดสำหรับปลูก - เตรียมถาด และโฟมสำหรับปลูก ใช้ถาดพลาสติกที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งมีความลึกประมาณ 2-3 นิ้ว ความกว้างยาวแล้วแต่จะหาซื้อได้ แล้วตัดโฟมให้ได้ขนาดพอปิดปากถาดโดยให้ใหญ่กว่าเล็กน้อย แล้วเจาะรูเป็นแนวขนาดเท่าเหรียญบาท - ฉีกฟองน้ำซึ่งเพาะต้นกล้าไว้เป็นชิ้นๆ และเลือกต้นพืชที่แข็งแรงไว้ต้นเดียว นำฟองน้ำนี้ไปใส่ในรูของโฟมที่เจาะไว้ - ใส่สารละลายในถาดโดยผสมสารละลาย A และสารละลาย B ใช้ทั้ง 2 สูตร ให้ค่า EC อยู่ที่ 1.2 Ms ใส่ในถาดจนรากของพืชที่ปลูกแช่อยู่ในสารละลาย - วางถาดนี้บริเวณที่มีแดดส่อง แต่สารละลายต้องไม่ร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียสคือแดดร้อนไม่จัดมากทั้งวัน เช่น วางบนระเบียงบ้าน หรือดาดฟ้า ไม่ยากเลยไหมครับสำหรับการเพาะกล้าผักที่ปลูกในระบบนี้ แต่สำหรับใครไม่เครื่องวัด EC ผมขอแนะนำให้ทำการคำนวนจากสูตรปุ๋ย 1000 ลิตรที่ผมได้อธิบายไว้ในบทที่แล้วนะครับ สำหรับบทความในครั้งหน้าผมจะมาอธิบายถึงระบบทั้งหมดของการปลูกพืชในระบบไฮโดรโพนิคส์นี้กันครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)