ชนิดของผักที่ปลูก(Hydroponics ตอนที่7) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
ชนิดของผักที่ปลูก(Hydroponics ตอนที่7)
การเลือกชนิดของผักที่จะปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์ หากเป็นการปลูกไว้เพื่อรับประทานเองในบ้าน ชอบทานผักอะไรก็สามารถปลูกได้เลย แต่หากเป็นการปลูกเพื่อการค้าแล้ว ชนิดของผักที่เราปลูก จะต้องตรงกับความต้องการของตลาด เนื่องจากระบบไฮโดรโพนิคส์นั้น มีต้นทุนค้อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการปลูกในดิน เพราะฉนั้นผักที่เราจะปลูกในระบบจะต้องเป็นผักคุ้มต่อการลงทุน และตลาดมีความต้องการสูง ชนิดของผักที่นิยมปลูกกันได้แก่ · กรีนโอ๊ค - Green Oak ใบมีลักษณะบาง ขอบใบหยัก มีทั้งสีเขียวและแดงขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ นิยมรับประทานสด เช่นเดียวกับผักตระกูลผักกาดหอมทั่วไป· เรดโครอล - Red coral เรด โครอล ใบมีลักษณะหยิกย่นเป็นคลื่น ปลายขอบใบหยิกเป็นฝอยสีแดง นิยมรับประทานสดๆในจานสลัด หรือนำมาใช้ตกแต่งจานอาหารให้มีสีสันสวยงาม· เบบี้คอส - Baby cos lettuce เบบี้คอสหรือผักกาดหวานเล็ก มีลักษณะคล้ายผักกาดหวานทั่วไปแต่มีขนาดเล็กและห่อปลีแน่นกว่า นิยมรับประทานสด เนื่องจากใบมีรสหวานและกรอบ· แรดโอ๊ค - Red loose leaf lettuce ใบมีลักษณะบาง ขอบใบหยัก มีทั้งสีเขียวและแดงขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ นิยมรับประทานสด เช่นเดียวกับผักตระกูลผักกาดหอมทั่วไป· คอส - Romain cos มีใบยาว เข้าปลีแบบหลวมๆ มีรสชาติหวานกรอบ จึงได้ชื่อว่า ผักกาดหวาน นิยมรับประทานสดในรูปแบบสลัดหรือเครื่องเคียงของน้ำพริก ลาบ เนื้อย่างต่างๆ· บัตเตอร์เฮด - Butter head lettue ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด ใบมีลักษณะอ่อน และห่อตัวแบบหลวมๆ นิยมรับประทานสดในจานสลัดหรือนำไปดัดแปลงทำอาหารประเภทอื่นๆเช่นเครื่องเคียงน้ำพริกต่างๆ เนื้อย่าง และยำต่างๆ· ฟิลเลย์ ไอซ์เบิร์ก frillice Iceberg ใบมีสีเขียว ทรงพุ่มใหญ่สวยงาม ขอบใบหยักห่อคล้ายลูกกลม คล้ายกะหล่ำปลีหัว กาบใบห่อเข้าหากันเป็นชั้น ๆ ห่อหัวเมื่ออากาศเย็นปลายใบหยิกเป็นฝอย ใบแข็งกรอบ ฉ่ำน้ำรสชาดหวานกรอบผักที่ผมได้กว่ามานี้ราคาอยู่ที่ประมาณกิโลกรัมละ 80- 120 บาทเลยที่เดียว นอกจากนี้ยังมีผักที่เป็นเครื่องเทศของต่างประเทศอีกหลายชนิดที่มีคาราแพงประมาณกิโลกรัมละ 400 -800 บาท เช่น ร็อคเก็ตสลัดRocket salad, โรสเมรี่ Rosemary, อิตาเลี่ยน เบซิล Italian Basil, อิตาเลี่ยน พาสเล่ย์ Italian Parsley เป็นต้น ในครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงการเลือกพื้นที่ ที่จะทำโรงเรือนในระบบไฮโดรโพนิคส์กันครับ ว่าต้องมีอุณหภูมิ แสง ความสูงต่ำของพื้น ว่าจะมีผลมากน้อยเพียงในต่อการเจริญเติบโตของผักที่เราปลูกกันครับ
ระบบปลูกผักไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่6) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
ระบบปลูกผักไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่6)
ระบบที่เราจะพูดถึงในวันนี้ จะพูดถึงระบบปลูกพืชไฮโดรโพคส์เฉพาะระบบที่ปลูกในน้ำเท่านั้น ซึ่งมีการพัฒนาเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศในแต่ละประเทศตามความเหมาะสม- ระบบเอ็นเอฟที (Nutrient Film Technique, N.F.T.) เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมเป็นการปลูกพืช โดยให้รากแช่อยู่ในสารละลายโดยตรง สารละลายจะไหลผ่านรากพืชเป็นฟิล์มบางๆ (โดยทั่วไปมักกำหนดให้น้ำที่ไหลผ่านมีความหนาประมาณ 2-3 มิลลิเมตร) สารละลายจะไหลหมุนเวียนผ่านรากตลอดเวลา ความยาวของระบบมีตั้งแต่ 5-20 เมตร แต่ไม่ควรเกิน 20 เมตร เนื่องจากจะทำให้เกิดความแตกต่างของปริมาณออกซิเจนระหว่างหัวและท้ายระบบได้ ซึ่งปริมาณออกซิเจนที่ละลายอยู่ในสารละลายจะมีอิทธิพลต่อความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารของรากพืช ระบบปลูกแบบเอ็นเอฟทีเหมาะสมกับการปลูกพืชที่ปลูกแบบรับประทานใบ ต้นเตี้ย อายุสั้น เช่น ผักสลัด ผักกาดการปลูกพืชแบบนี้ จะเป็นการปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายโดยตรงสารละลายธาตุอาหารจะไหลเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ (หนาประมาณ 2-3 มิลิเมตร) ในรางปลูกพืชกว้างตั้งแต่ 5-35 เซนติเมตร สูงประมาณ 5 เซนติเมตร ความกว้างรางขึ้นอยู่กับชนิดพืชที่ปลูก ความยาวของรางตั้งแต่ 5-20 เมตร การไหลของสารละลายอาจเป็นแบบต่อเนื่องหรือแบบสลับก็ได้โดยทั่วไปสารละลายจะไหลแบบต่อเนื่องอัตราไหลอยู่ในช่วง 1-2 ลิตรต่อนาทีต่อราง รางอาจทำจากแผ่นพลาสติกสองหน้าขาวและดำ หนา 80-200 ไมครอน หรือจากพีวิซี (PVC) ขึ้นรูปเป็นรางสำเร็จรูป ทำจากโลหะ เช่น สังกะสี หรืออะลูมิเนียม และบุภายในด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันการกัดกร่อนของสารละลายโดยจะมีปั๊มดูดสารละลาย ให้สารละลายไหลผ่านรางและรากพืชและเวียนกลับมายังถังเก็บสารละลาย - ระบบเอ็นเอฟเอลที (Nutrient Flow Technique) คือ การปลูกแบบระบบให้สารละลายธาตุอาหารพืชไหลผ่านรากพืชแบบแผ่นหนาบนรางปลูกอย่างต่อเนื่อง - ระบบดีเอฟที (Deep Floating Technique) เป็นระบบที่ปลูกพืชโดยรากแช่อยู่ในสารละลายลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร โดยจะมีการปลูกพืชบนแผ่นโฟมหรือวัสดุที่ลอยน้ำได้ เพื่อยึดลำต้นแต่จะปล่อยให้รากเป็นอิสระในน้ำระบบนี้ไม่มีความลาดเอียงเป็นระบบที่มีการหมุนเวียนสารละลายโดยการใช้ปั๊มดูดสารละลายจากถังพักขึ้นมาใช้ใหม่ในระบบเพื่อให้เกิดการหมุนเวียน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนให้กับระบบน้ำที่ใช้ในการผลิตผัก ระบบนี้อาจมีเชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ระบบไฮโดรโพนิคส์ลอยน้ำ (Floating Hydroponics Systems) - ระบบดีอาร์เอฟ (Dynamic Root Floating) เป็นระบบการปลูกพืชที่พัฒนามาจากระบบของ ดร.เกอริค (Prof. Dr.William F.Gericke) ที่เน้นการปลูกพืชให้รากพืชแช่อยู่ในน้ำส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งสร้างรากอากาศเพื่อช่วยในการหายใจ โดยจะทำให้พืชที่ปลูกในระบบนี้สามารถเจริญได้ในอุณหภูมิของสารละลายที่สูงมากกว่าระบบอื่นๆ ได้ดี ดร.เกา (Kao Te Chen) นักวิจัยและพัฒนาระบบไฮโดรโพนิคส์ ชาวไต้หวัน ได้พัฒนาระบบของ ดร.เกอริค โดยเพิ่มระบบท่อรับน้ำในกระบะที่ช่วยให้ระดับน้ำสูงขึ้นหรือลดลงได้ตามความต้องการของพืช โดย ดร.เกา ได้กำหนดให้ระดับน้ำควรสูงเพียงพอที่จะทำให้รากพืชแช่อยู่ในน้ำได้ประมาณ 4 เซนติเมตร โดยรากส่วนนี้จะเป็นรากที่ดูดอาหาร (Nutrient root) และรากส่วนเหนือจากนี้จะเป็นรากที่หายใจ และดูดออกซิเจนเข้าสู่ราก จึงเรียกรากส่วนนี้ว่า รากอากาศ (Aero root) ดังนั้นระบบดีอาร์เอฟก็คือระบบที่สามารถปรับความสูงต่ำของน้ำในกระบะปลูกได้ตามความต้องการของพืชแต่ละชนิด และเพื่อให้รากพืชลอยอยู่ในน้ำในระดับเพียง 4 เซนติเมตร ระบบดีอาร์เอฟได้มีการพัฒนาหลายครั้ง และปัจจุบันได้จดสิทธิบัตรในไต้หวัน โดยระบบดังกล่าวได้แบ่งเป็น 2 ระบบย่อยๆ ได้แก่ ระบบปรับลดระดับสารละลาย เป็นแบบที่ปล่อยให้รากจมอยู่ในน้ำลึกในระยะแรก แล้วค่อยลดระดับน้ำลงจากระดับแรกที่สูงประมาณ 8 เซนติเมตร เหลือ 4 เซนติเมตร ระบบเออาร์-ดีอาร์เอฟ เป็นการปลูกพืชโดยให้รากพืชคร่อมบนสันของถาดปลูกที่ออกแบบมาโดยเฉพาะแล้วปล่อยสารละลายไปตามแนวด้านข้าง - ระบบเอฟเอดี (Flood and Drain,FAD) คือ การให้สารละลายธาตุอาหารพืชท่วมภาชนะปลูกและรากพืชอยู่ระยะเวลาหนึ่ง แล้วค่อยๆ ระบายออกระยะเวลาหนึ่ง แล้วจึงให้สารละลายท่วมภาชนะอีกครั้ง สลับเช่นนี้เป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง สำหรับในครั้งหน้าเราจะมาพูดถึงชนิดของผักที่เราจะปลูกกันครับว่า ปลูกผักชนิดไหนขายได้ราคาดีและตลาดมีความต้องการสูงกันครับ
การเพาะกล้าผักระบบไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่ 5) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
การเพาะกล้าผักระบบไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่ 5)
วันนี้เราจะมาอธิบายถึงวิธีการเพาะกล้าผักที่ปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์กันครับ ก่อนอื่นอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้ ถาดพลาสติก เมล็ดพันธุ์ผัก สารละลายสำหรับใช้ปลูกพืช จากนั้นเราก็มาเริ่มกันเลยครับ - นำฟองน้ำที่หนาประมาณ 3-4 เซนติเมตร มาตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมใหญ่แล้วใช้ คัดเตอร์ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมเล็กๆ ให้ลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ระวังอย่างให้ขาดจากกัน จากนั้นกรีดเป็นรูปกากบาทตรงกลางของแต่ละอัน สำหรับหยอดเมล็ด - วางฟองน้ำลงในถาดรดน้ำให้ชุ่ม หยอดเมล็ดลงไปในรอยกากบาท หลุมละ 2-3 เมล็ด เก็บไว้ในที่มืด 2-3 วัน พอเมล็ดเริ่มงอกก็รดด้วยสารละลาย - สารละลายที่ใช้ครั้งแรกจะเป็นสารละลายเจือจาง สารละลายนี้มีสองสูตรดังที่ผมได้กล่าวไว้ถึงการผสมในบทความที่แล้ว คือสารละลาย A และสารละลาย B ใช้ทั้ง 2 สูตร ให้ค่า EC อยู่ที่ 0.8 Ms ใช้รดต้นกล้าซึ่งเอามารับแสงแดดแล้วรดให้ชุ่มจนต้นกล้าออกใบจริง 2-3 ใบ จึงย้ายไปปลูกในถาดสำหรับปลูก - เตรียมถาด และโฟมสำหรับปลูก ใช้ถาดพลาสติกที่มีขายทั่วไปในท้องตลาด ซึ่งมีความลึกประมาณ 2-3 นิ้ว ความกว้างยาวแล้วแต่จะหาซื้อได้ แล้วตัดโฟมให้ได้ขนาดพอปิดปากถาดโดยให้ใหญ่กว่าเล็กน้อย แล้วเจาะรูเป็นแนวขนาดเท่าเหรียญบาท - ฉีกฟองน้ำซึ่งเพาะต้นกล้าไว้เป็นชิ้นๆ และเลือกต้นพืชที่แข็งแรงไว้ต้นเดียว นำฟองน้ำนี้ไปใส่ในรูของโฟมที่เจาะไว้ - ใส่สารละลายในถาดโดยผสมสารละลาย A และสารละลาย B ใช้ทั้ง 2 สูตร ให้ค่า EC อยู่ที่ 1.2 Ms ใส่ในถาดจนรากของพืชที่ปลูกแช่อยู่ในสารละลาย - วางถาดนี้บริเวณที่มีแดดส่อง แต่สารละลายต้องไม่ร้อนเกิน 35 องศาเซลเซียสคือแดดร้อนไม่จัดมากทั้งวัน เช่น วางบนระเบียงบ้าน หรือดาดฟ้า ไม่ยากเลยไหมครับสำหรับการเพาะกล้าผักที่ปลูกในระบบนี้ แต่สำหรับใครไม่เครื่องวัด EC ผมขอแนะนำให้ทำการคำนวนจากสูตรปุ๋ย 1000 ลิตรที่ผมได้อธิบายไว้ในบทที่แล้วนะครับ สำหรับบทความในครั้งหน้าผมจะมาอธิบายถึงระบบทั้งหมดของการปลูกพืชในระบบไฮโดรโพนิคส์นี้กันครับ
การผสมสูตรปุ๋ยไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่4) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
การผสมสูตรปุ๋ยไฮโดรโพนิคส์(Hydroponics ตอนที่4)
สวัสดีชาวดินปุ๋ยดอทคอมทุกท่านนะครับ บทความนี้ก็เป็นบทความตอนที่ 4 ของการปลูกผักในระบบไฮโดรโพนิคส์แล้วนะครับ หวังว่าท่านจะได้รับความรู้จากบทความของดินปุ๋ยดอทคอมมาพอสมควรแล้วนะครับ วันนี้เราจะมาพูดถึงการผสมปุ๋ยไฮโดรโพนิคส์กันครับ การผสมสารละลายไฮโดรโพนิคส์สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเป็นลำดับแรกๆก็คือ น้ำที่ใช้ในการผสมปุ๋ยนั้นเอง น้ำที่ใช้ผสมปุ๋ยจะต้องเป็นน้ำที่สะอาดมีค่าความเป็นกรด-ด่างที่เป็นกลางเพื่อป้องกันไม่ให้สารละลายที่เราผสมนั้นตกตะกอน ส่วนปุ๋ยที่เราจะใช้ในวันนี้ประกอบไปด้วยปุ๋ยทั้งหมด 10 ชนิดนะครับ ซึ่งผมได้บอกวิธีการเลือกซื้อปุ๋ยไว้ในบทที่แล้วเรียบร้อยแล้วครับ ปุ๋ย 10 ชนิดก็ประกอบไปด้วย โปแตสเซียมไนเตรท แคลเซียมไนเตรท แมกนีเซียมซัลเฟต แอมโมเนียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต เหล็กคีเรท แมงกานีสครอไรด์ กรดบอริก ซิงค์ชัลเฟต ดอปเปอร์ซัลเฟต และโมลิบดินัม เมื่อเรามีปุ๋ยทั้ง 10 ชนิดครบแล้ว เราก็มาเริ่มขั้นตอนการผสมกันเลยครับ วันนี้จะผสมสารละลายที่ใช้สำหรับปลูกผักจำนวน 1000 ลิตรกันนะครับ ให้เตรียมถังน้ำขนาด 60 ลิตรซึ่งมีขายโดยเท่าไป จำนวน 2 ถัง ใส่น้ำสะอาดที่เราจะทำการผสมลงไปถังละ 50 ลิตร ผมจะขอเรียกถังแรกว่า ถัง A ส่วนถังที่ 2 จะเรียกว่าถัง B เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ เมื่อใส่น้ำลงในถัง A และB แล้วสิ่งที่เราจะต้องทำต่อไปคือแบ่งสารปุ๋ยออกเป็น 2 ส่วน เพื่อใส่ลงไปในถัง A และถัง B ปุ๋ยของบ้างบริษัทอาจมี 2 3 หรือ4 ถังขึ้นอยู่กับสูตรปุ๋ยของแต่ละบริษัท เหตุผลที่ต้องมรการแยกก็คือ เพื่อปุ๋ยที่เราผสมลงไปนั้นมีทั้งไอออนบวกและไอออนลบ เมื่อผสมกันในปริมาณเข้มข้นจะทำให้ตกตะกอนได้ ผมจะขอแย่งปุ๋ยของเราออกเป็น 2 ส่วนนะครับ ส่วนที่ 1 ประกอบด้วย โปแตสเซียมไนเตรท แมกนีเซียมซัลเฟต และแอมโมเนียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต วิธีผสม ใส่ปุ๋ยตัวไหนลงไปก่อนก็ได้ครับแล้วคนให้ละลายจนหมด จากนั้นใส่ปุ๋ยชนิดที่ 2 ลงไปแล้วคนให้ละลายจนหมด ทำจนครบ 3 ชนิดก็เป็นอันเรียบร้อยครับสำหรับสูตร Aส่วนที่ 2 ประกอบด้วย แคลเซียมไนเตรท เหล็กคีเลท แมงกานีสครอไรด์ กรดบอริก ซิงค์ชัลเฟต ดอปเปอร์ซัลเฟต และโมลิบดินัม วิธิผสมก็ทำเหมือนสูตร A แต่ปุ๋ยชนิดสุดท้ายต้องเป็นเหล็กคีเลทครับ เราก็จะได้ปุ๋ยสูตร B ครับ หลังจากที่เราได้สารละลาย A และ B แ้ล้ว เราก็นำไปใช้ได้เลยครับ การนำไปใช้อย่งที่ผมบอกไว้ในตอนแรกนะครับว่าเราเตรียมสารละลายเพื่อใช้กับน้ำในระบบ 1000 ลิตร สำหรับคนที่มีเครื่องวัดค่าการนำไฟฟ้าก็สามารถนำไปใช้ได้เลย แต่สำหรับคนที่ไม่มีเครื่องมือวัด ผมขอยกตัวอย่าง สมมุดว่าน้ำในระบบปลูกผักของเรามีปริมาณ 100 ลิตร เราก็เติมสารละลาย A ลงไป 5 ลิตร สารละลาย B 5 ลิตร ก็จะได้ความเข้มข้นที่เหมาะสมในการปลูกผักครับ ส่วนใครที่อยากจะผสมให้ใช้ได้มากหรือน้อยกว่าก็ปรับสูตรได้ตามใจชอบเลยครับ เห็นไหมครับว่าการผสมปุ๋ยไอโดรโพนิคส์เพื่อใช้เองไม่ยากเลยใช่ไหมครับ หากใครมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามได้หลังบทความนี้เลยครับ หรือจะเข้าไปที่เฟสบุ๊คของเราก็ได้นะครับ ที่ http://www.facebook.com/DinPuiDotCom หรือตั้งกระทู้ถามได้ที่เว็บไซด์ของเรานะครับ http://www.dinpui.com สำหรับบทความในครั้งหน้าจะมากล่าวถึงวิธีการเพาะกล้าผักกันครับ
การเลือกซื้อแม่ปุ๋ย hydroponics (Hydroponics ตอนที่ 3) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
การเลือกซื้อแม่ปุ๋ย hydroponics (Hydroponics ตอนที่ 3)
ปุ๋ยเคมีที่ขายในท้องตลาดมีมากมายหลายชนิด เราจะรู้ได้อย่างไรว่าปุ๋ยไหนดีและเหมาะสมที่จะนำมาทำเป็นปุ๋ยไฮโดรโพนิคส์ ก่อนอื่นผมขออธิบายถึงคุณลักษณะของปุ๋ยที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดก่อนนะครับ ปุ๋ยที่จำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดมีทั้งปุ๋ยเชิงเดี่ยว เชิงผสม และเชิงประกอบ อยู่ในรูปของ เม็ด เกร็ด ผงหรือน้ำ แต่ทั้งหมดนี้จะขึ้นอยู่กับเปอร์เซ็นต์ของปู๋ยที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่นปุ๋ย โปแตสเซียมไนเตรท สูตรปุ๋ย 13-0-46 คือมีไนโตรเจน 13 % และมีโปแตสเซียมอยู่ 46 % ของทั้งหมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความบริสุทธิ์ของปุ๋ย ยิ่งปุ๋ยมีความบริสุทธิ์มากจะสามารถละลายน้ำได้ดี ซึ่งเหมาะกับการที่เราจะเลือกนำมาใช้ในการผสมเป็นปุ๋ยไฮโดรโพนิคส์ นอกจากนี้การเลือกสูตรปุ๋ยที่จะใช้กับระบบปลูกผักไฮโดรโพนิคส์นั้น ไม่ว่าจะเป็นสูตรของอาจารย์ท่านใด มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั้งฟาร์มใหญ่ที่มีอยู่ตอนนี้โดยส่วนใหญ่ปรับสูตรมาจากสูตรของ Hoagland and Arnon ทั้งสิ้น ผมจึงขอแนะนำสำหรับผู้ที่จะเริ่มปลูกผักในระบบไฮโดรโพนิคส์ให้เริ่มจากการปรับสูตรธาตุอาหารจากสูตรนี้ก่อน ปลู สำหรับผู้สนใจอยากได้สูตรธาตุอาหารที่ปรับสูตรแล้วว่าต้องใส่ปุ๋ยชนิดใดบ้าง จำนวนกี่กรัม ผมยินดีบอกสูตรให้นะครับ โดยท่านสามารถโพสอีเมลของท่านไว้ให้ท้ายบทความนี้ได้เลยนะ แล้วผมจะส่งให้ทางอีเมลนั้นๆครับ เรามาเข้าเรีืื่องกันต่อเลยครับ ส่วนปุ๋ยที่จะใช้ในการผสมสูตรธาตุอาหาร ก็มีอยู่ไม่กี่ชนิดนะครับหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป ผมขอแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ เพื่อสะดวกในการซื้อหาของท่าน ดูตามตารางด้านบนนะครับ ส่วนที่หนึ่ง ประกอบด้วย ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปตัสเชียม แคมเชียม แมกนีเซียม และซัลเฟส ปุ๋ยต่างๆ เหล่านี้่ท่านสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายปุ๋ยทั่วไปครับ ส่วนที่ 2 จะเป็นธาตุที่ใช้ในปริมาณที่น้อยและหาซื้อได้ยากตามร้านปุ๋ยนะครับ แนะนำให้ท่านซื้อที่ร้านเคมีภัณฑ์นะครับ สำหรับบทความในครั้งหน้าจะมากล่าวถึงการผสมปุ๋ยที่จะใช้ในระบบไฮโดรโพนิส์กันครับ
การจัดการธาตุอาหารของผักที่ปลูกในน้ำ (hydroponics ตอนที่2) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
การจัดการธาตุอาหารของผักที่ปลูกในน้ำ (hydroponics ตอนที่2)
การจัดการระดับความเข้มข้นของธาตุอาหารที่ใส่ลงไปในระบบปลูกไฮโดรโพนิคส์ นับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญในระดับต้นๆ ที่จะทำให้ผักที่เราปลูกนั้นเจริญเติมโตได้อย่างรวดเร็ว และให้ผลผลิตที่ตรงกับความต้องการของตลาด การปลูกผักในระบบไฮโดรโพนิคส์นี้การจัดการธาตุอาหารจะแตกต่างจากการปลูกผักในดินโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ การปลูกผักในดินนั้นเราจะไม่สามารถควบคุมปริมาณธาตุอาหารต่างๆ ได้เลย เพราะดินมีคุณสมบัติในการดูดเอาไอออนต่างๆ ของธาตุอาหารและยังเกิดจากปัจจัยภายนอกอีกมากมาย เช่นปริมาณความชิ้นที่อยู่ในดินอาจมีน้อย ทำให้พืชไม่สามารถดูดเอาธาตุอาหารไปใช้ได้ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับปริมาณจุลินทร์ดินที่อยู่บริเวณนั้น ซึ่งจะช่วยเปลี่ยนรูปของแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในดินให้อยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งจะแตกต่างจากการที่เราปลูกผักในน้ำที่เราสามารถควบคุมปริมาณธาตุอาหารของผักที่เราปลูกได้หมด การจัดการความเข้มข้นของธาตุอาหารนั้นตามที่ผมได้กล่าวไว้ในบทที่แล้วว่าช่วงการเจริญเติมโตของพืชก็เหมือนกับร่างกายของคนเรานั้นเอง เมื่อตอนเรายังเด็กๆต้องการอาหารในปริมาณที่น้อย เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ต้องการอาหารในปริมาณที่มากขึ้น ต้นไม้ก็เหมือนกันนะครับช่วงแรกๆต้องการสารอาหารในปริมาณความเข้มข้นที่น้อย พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องการธาตุอาหารเยอะมากขึ้น ตามหลักวิชาการแล้วการทดสอบว่าผักนั้นต้องการอาหารมากน้อยเพียงใด จะทำการเก็บตัวอย่างของผักในแต่ละระยะการเจริญเติบโตมาวิเคราะห์หาปริมาณธาตุอาหารที่อยู่ในส่วนต่างๆ ของผักว่ามีมากน้อยเพียงใด จึงสามารถทราบได้ว่าผักในแต่ละชนิดในแต่ละช่วงการเจริญเติบโตต้องการอาหารมากน้อยเพียงใด โดยทั่วไปแล้วผักที่เราปลูกในระบบไฮโดรโพนิคส์นี้จะมีค่า EC อยู่ที่ 1.2-3.0 MS ตามอายุของผักนั้นนะครับ กล่าวคือ ช่วงแรกๆ ที่ผักยังเล็กอยู่ก็ให้ธาตุอาหารในปริมาณที่น้อยหน่อย พอผักมีอายุมากขึ้นก็ค่อยๆเพิ่มความเข้มข้นขึ้นและ 1 วันก่อนการเก็บเกี่ยวควรมีการลดความเข้มข้นของธาตุอาหารลงให้มากที่สุด เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภคด้วยครับ แต่ในทางปฏิบัติจริงๆแล้ว การที่เราทำฟาร์มผักไฮโดรโพนิคส์เพื่อการค้าขนาดใหญ่ เราจะไม่สามารถทำตามที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นได้เลย เนื่องจากผักที่ปลูกในระบบต้องมีการปลูกและเก็บเกี่ยวเพื่อส่งตลาดทุกวัน ผักที่ปลูกในระบบเป็นผักหลายๆรุ่น อายุการเจริญเติมโตก็ไม่เท่ากัน จึงเป็นการยากที่จะจัดการธาตุอาหาร โดยส่วนใหญ่แล้วจะให้ค่าความเข้มข้นของธาตุอาหารคงที่อยู่ที่ 1.5-1.6 ตลอดเวลา ผักที่ยังเล็กอยู่ก็สามารถดูดใช้ธาตุอาหารได้ ส่วนผักที่มีอายุมากก็สามารถดูดใช้ธาตุอาหารได้เช่นกัน ในครั้งหน้าผมจะมากล่าวถึงการเลือกซื้อปุ๋ยที่มีขายอยู่ตามท้องตลาดรวมถึงการผมสูตรปุ๋ยซึ่งนับว่าเป็นหัวใจหลักของการปลูกผักในระบบไฮโดรโพนิคส์นี้เลยที่เดียวนะครับ
เทคนิคการเพิ่มน้ำหนักให้กับผักที่ปลูกในน้ำ(Hydroponics ตอนที่ 1) : DinPui.com ดินปุ๋ยดอทคอม ความรู้ดีๆ เกี่ยวกับการเกษตร
เทคนิคการเพิ่มน้ำหนักให้กับผักที่ปลูกในน้ำ(Hydroponics ตอนที่ 1)
เทคนิคการเพิ่มน้ำหนักให้กับผักที่ปลูกในน้ำ บ้างคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยากแน่นอน อาจต้องมีการปรับสูตรธาตุอาหาร จะต้องมีการเพิ่มธาตุอาหารบางตัวเข้าไปอย่างแน่นอน แต่ปล่าวเลยครับ วันนี้ผมจะมาสอนวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้น้ำหนักของผลผลิตเพิ่มขึ้นก่อนการเก็บเกี่ยว ก่อนอื่นผมต้องขออธิบายคร่าวๆ ก่อนเลยนะครับว่า ปัจจัยที่จะทำให้น้ำหนักของผลผลิตที่เราปลุกไว้นั้นเพิ่มได้จะต้องเกี่่ยวกับปัจจัยหลายๆอย่าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปริมาณธาตุอาหารที่ผักนำไปใช้ อุณหภูมิ แสง วันนี้ผมจะพูดถึงแสงนะครับ ว่าแสงมีผลต่อการเพิ่มน้ำหนักของผลิตเราอย่างไร ถ้าจะเปรียบเทียบร่างกายของคนเราเป็นผักที่เราปลูกสักหนึ่งต้น อาหารที่คนเรากินเข้าไปนั้นก็เปรียบเหมือนธาตุอาหารที่ผักดูดเข้าไปใช้ แสงก็เปรียบเหมือนน้ำที่พวกเราดื่มเข้าไปทุกวัน เมื่อเรากินอาหารเข้าไปแล้วรา่งกายปราศจากน้ำ รา่งกายก็ไม่สามารถดูดซึมเอาสารอาหารที่เรากินเข้าไปใช้ได้ เพราะฉนั้นแสงจึงมีความสำคัญในกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช เพื่อเปลี่ยนให้พืชสามารถนำสารอาหารต่างๆไปใช้ได้นั้นเองช่วงการเจริญเติมโตของพืชก็เหมือนกับร่างกายของคนเรานั้นเอง เมื่อตอนเรายังเด็กๆต้องการอาหารในปริมาณที่น้อย เมื่อเติบโตขึ้นมาก็ต้องการอาหารในปริมาณที่มากขึ้น ต้นไม้ก็เหมือนกันนะครับช่วงแรกๆต้องการสารอาหารในปริมาณที่น้อย พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องการธาตุอาหารเยอะมากขึ้น และแน่นอนครับว่าต้องการแสงในปริมาณที่มากขึ้นด้วย เพราะฉนั้นหากปริมาณแสงไม่เพียงพอต่อความต้องการของพืช ก็จะส่งผลถึงน้ำหนักของพืชโดยตรงครับ วิธีการนำไปปฎิบัติก็คือในช่วงแรกๆที่ผักยังอายุน้อยให้ใช้ตาข่ายพรางแสง 50-70 % พรางแสงไว้นะครับหรือถ้าใครมีเครื่องวัดปริมาณช่วงแสง ก็ประมาณ 12000 ลักซ์ เมื่อผักที่เราปลูกอายุได้สักประมาณ 15 วัน ให้นำตาข่ายพรางแสงออก เพื่อให้ผักได้รับแสงอย่างเพียงพอ ประมาณ 15000-17000 ลักซ์ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผักและช่วยเพิ่มน้ำหนักก่อนการเก็บเกี่ยวสู่ท้องตลาดได้ครับ ครั้งหน้าผมจะมากล่าวถึงการจัดการธาตุอาหารของผักในแต่ช่วงการเจริญเติมโตกันนะครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)